การพัฒนาหุ่นยนต์เพื่อการรบได้ช่วยให้การทำสงครามมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น แม้ว่าในปัจจุบัน เครื่องจักรกลจำนวนมากได้ถูกใช้ในการรบอยู่แล้ว กองทัพและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังพยายามผลักดัน ให้นำหุ่นยนต์มาใช้ในสงครามมากขึ้น หุ่นยนต์รุ่นใหม่ๆ ได้ถูกออกแบบ และพัฒนาเพื่อการปฏิบัติงาน หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่การลาดตระเวน จนถึงปฏิการสังหาร ซึ่งทหารเทคนิคสามารถควบคุมหุ่นยนต์ รบด้วยสัญญาณไร้สายโดยที่ไม่ต้องเข้าไปอยู่ในพื้นที่ระยะกระสุน ทหารเทคนิคสามารถควบคุม กล้องวิดีโอตรวจหา และกำจัดคนซุ่มยิงด้วยการยิงติดต่อกันในระยะเวลาอันรวดเร็ว นอกจากช่วยปกป้อง ทหารแล้ว หุ่นยนต์ยังเป็นนักรบที่ไม่เคยถูกหันเหความสนใจไปจากจุดเป้าหมาย ดวงตาจักรกลที่ไม่ต้อง กระพริบตาสามารถตรวจจับได้แม้กระทั่งการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย นอกจากนั้นหุ่นยนต์ก็ไม่เคยมีความหวาดกลัวต่อกระสุน การสำรวจพื้นที่รบโดยอาศัยสายตา ของ หุ่นยนต์ จึงทำให้ทหารมีเวลามากขึ้นในการแยกแยะเป้าหมาย และช่วยลดการเสียชีวิตของผู้บริสุทธ์
ในทางกลับกันปรากฏว่ามีผู้คัดค้านการใช้หุ่นยนต์โดยให้เหตุผลคัดง้างกันว่า การที่หุ่นยนต์ช่วยลด อันตรายแก่ทหาร และลดงบประมาณแก่กองทัพจะส่งผลให้มีการก่อสงครามได้ง่ายมากขึ้น และ ประชาชนผู้บริสุทธ์จะเสียชีวิตมากยิ่งขึ้น เพราะการแยกแยะศตรู กับผู้บริสุทธ์ทำได้ยาก โดยเฉพาะ เครื่องจักรที่ถูกควบคุมจากทางไกล เช่นการควบคุมการรบในอิรักจากสหรัฐอเมริกาอย่างไรก็ตาม ทหารและนักกลยุทธทางการรบ รวมไปถึงนักออกแบบอาวุธยังคงให้การสนับสนุน การใช้นักรบหุ่นยนต์ โดยให้เหตุผลว่าเครื่องจักรกลไม่มีความรู้สึก ดังนั้นหุ่นยนต์จะปฏิบัติตาม กฎเกณฑ์อย่างเคร่งครัด และไม่มีการตัดสินใจเพื่อตอบสนองตามความรู้สึก เช่น ความโกรธ หรือความมุ่งร้าย ดังนั้นหุ่นยนต์จึงมีการตัดสินใจที่ดีกว่า ความเชื่อมั่นในหุ่นยนต์ได้รับการพิสูจน์ ในการรบหลายๆ ครั้งของประเทศสหรัฐฯ โดยหุ่นยนต์นักรบได้ช่วยรักษาชีวิตทหารสหรัฐฯ จำนวนมากจากการบุกโจมตีในพื้นที่ของฝ่ายตรงข้าม และการเก็บกู้ระเบิดชนิดต่างๆ
แม้ว่าประเด็กถกเถียงนี้ยังหาข้อสรุปไม่ได้ กองทัพสหรัฐฯ ก็ยังคงพยายามเพิ่มการใช้เครื่องจักรในสงคราม โดยในปี 2001 รัฐสภาของสหรัฐได้มอบหมายให้กระทรวงกลาโหม เพิ่มปริมาณการใช้ยานพาหนะเพื่อการรบที่ควบคุมโดยสัญญาณวิทยุทางไกลให้ได้ 1 ใน 3 ของยานพาหนะทั้งหมดภายในปี 2015 ในระหว่างนี้ได้มีการพัฒนาที่สำคัญต่างๆ เช่น วิศวกรจาก Boston Dynamics ได้ออกแบบหุ่นยนต์เดินได้เพื่อช่วยทหารขนส่งเครื่องมือทางการรบที่หนักถึง 400 ปอนด์ ไปยังพื้นที่ทุรกันดาร โดยหุ่นยนต์ดังกล่าวจะติดตามกลุ่มทหารโดยอัตโนมัติ อีกตัวอย่างหนึ่งคือการพัฒนาหุ่นยนต์สี่ขาที่สามารถรักษาการทรงตัว และเคลื่อนที่ได้ทั้งในพื้นที่ลาดชัน หรือพื้นที่ที่ถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็ง
นอกจากนี้ การพัฒนาในปัจจุบันได้มุ่งเน้นไปที่อุปกรณ์การรบที่มีขนาดเล็กลง มีน้ำหนักเบาลง และมีพื้นที่ทำลายล้างที่แคบลง แต่มีความแม่นยำมากขึ้น ผู้สนับสนุนโครงการกล่าวว่าความพยายามเหล่านี้เพื่อลดการตายของผู้บริสุทธ์ และทหารของสหรัฐฯ ตัวอย่างผลงานประดิษฐ์ที่น่าสนใจ เช่น หุ่นยนต์มาร์ (Maars – Modular Advanced Armed Robotic System) ซึ่งเป็นหุ่นยนต์จู่โจมสำหรับเวลากลางคืน เนื่องจากระบบพลังงานของหุ่นยนต์ชนิดนี้ไม่แผ่รังสีความร้อนเหมือนกับร่างกายของมนุษย์ และหุ่นยนต์มาร์ยังใช้ปืนเลเซอร์ในการโจมตี ดังนั้นเครื่องตรวจจับความร้อนจึงไม่สามารถตรวจจับหุ่นยนต์มาร์ได้ การพัฒนาเหล่านี้ส่งผลให้สงครามที่ดำเนินด้วยเครื่องจักรกล และหุ่นยนต์อัตโนมัติจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้